หลายคนน่าจะแปลกใจอยู่บ้าง ที่เมื่อกลางสัปดาห์ จู่ๆราคาน้ำมันหน้าสถานบริการน้ำมันที่ประกาศในบ้านเราก็ขยับสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือน
ตามราคาน้ำมันดิบโลกที่สูงขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมัน WTI ถือว่าปรับขึ้นกว่า 1 เท่าตัวในรอบเวลาเพียงประมาณกว่า 2 สัปดาห์เท่านั้น สอดคล้องกับการประกาศปริมาณคงคลังน้ำมันดิบจากหน่วยงาน EIA ของสหรัฐเมื่อวานนี้ ที่สูงขึ้นเพียง 4.6 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะสูงขึ้น 8.67 ล้านบาร์เรล โดยบทความนี้ จะขอวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว ดังนี้
หนึ่ง ปัจจัยฝั่งอุปสงค์ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก
ได้แก่ ส่วนแรก ราคาน้ำมันเบนซินหรือ Gasoline ในสหรัฐที่มีปริมาณการใช้ในตอนนี้สูงขึ้นจากกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมากว่าร้อยละ 9 โดยเพิ่มจากร้อยละ 49 มาสู่ร้อยละ 58 ของระดับที่ใช้กันสำหรับช่วงเวลาเศรษฐกิจในภาวะปกติ
ส่วนที่สอง การผ่อนคลายมาตรการล๊อคดาวน์จากสถานการณ์โควิด-19 ของบางประเทศในฝั่งยุโรป อาทิ เยอรมัน สเปนและอิตาลี รวมถึงบางรัฐในสหรัฐเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ของน้ำมันในพื้นที่เหล่านี้และของโลกสูงขึ้น
ส่วนที่สาม ความหวังว่าโอกาสที่สถานการณ์โควิด-19 จะรุนแรงขึ้นจาก Second Wave ของโรคระบาดจนก่อให้เกิดการกลับมาขยายเวลาล็อคดาวน์อีกครั้ง จะมีน้อยลงในช่วงนี้ ได้ทำให้ประมาณการณ์จีดีพีของภูมิภาคต่างๆของโลกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1-3
สอง การผ่อนคลายลงของปัญหาการจัดเก็บน้ำมัน (Storage Problem) ทั้งนี้ แม้ว่าในสหรัฐแหล่งจัดเก็บน้ำมันที่มีขนาดใหญ่อย่างเมืองคุชชิง ในโอลาโฮมา จะมีอัตราการจัดเก็บที่สูงขึ้นกว่าร้อยละ 10 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จนจะแตะระดับ 60 ล้านบาร์เรล เหลืออีกเพียง 25 ล้านบาร์เรลก็จะเต็มความจุทั้งหมดก็ตาม หรือแม้แต่แหล่งจัดเก็บใต้ดินอย่าง Salt Caverns ที่มีขนาดการจัดเก็บน้ำมันใหญ่ที่สุด ก็เริ่มที่จะจัดเก็บน้ำมันใกล้เต็มความจุรวม
อย่างไรก็ดี บริษัทน้ำมันได้แก้ปัญหาดังกล่าวแบบชั่วคราวด้วยการใช้แหล่งเก็บน้ำมันแบบที่ลอยเหนือน่านน้ำ หรือ Supertanker ที่ทางรอยเตอร์สคาดการณ์ว่าเก็บได้ราว 160 ล้านบาร์เรลในสหรัฐ
แต่ที่ดูแล้วถือว่าน่าสนใจ ได้แก่ การจัดเก็บแบบ Frac tank ซึ่งปกติแล้วถังเก็บเหล่านี้ จะจัดเก็บสารเคมีที่เป็นของเหลวที่เรียกว่า frac fluids โดยในช่วงนี้ ได้มีการปรับถังเก็บเหล่านี้มาเก็บน้ำมันแทน โดยข้อดีของวิธีนี้คือมีต้นทุนที่ถูก โดยแต่ละ frac tank สามารถจัดเก็บน้ำมันได้ราว 500 บาร์เรล หากมีถังเหล่านี้หลายๆหน่วยก็ถือว่าเป็นแหล่งจัดเก็บน้ำมันขนาดย่อมได้ โดยที่ข้อดีอีกอย่างคือสามารถขนถ่ายไปยังจุดที่เป็นรถขนน้ำมันได้ง่ายอีกด้วย โดยแน่นอนว่าราคาของ frac tank ก็สูงขึ้นมาในช่วงนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากข้อดีดังกล่าว
สาม ปัจจัยกองทุน USO โดยกองทุนตราสาร ETF แบบ Passive อย่าง United States Oil Fund (USO) ได้เป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้ราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ขยับสูงขึ้น
โดยที่ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ในช่วงที่ราคาสูงขึ้นนั้น ราคา ETF ของน้ำมันดิบ จะสูงกว่าราคาน้ำมันที่ใช้เป็น Underlying หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ETF นี้ Overpriced ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อขายของ ETF นี้สูงขึ้น นั่นคือจะมีอุปสงค์ต่อน้ำมันในส่วน Underlying เยอะขึ้น ดันให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น
นอกจากนี้ หน่วยงานที่กำกับ USO อย่าง CME ยังได้ประกาศให้ USO ยกเลิกการใช้ Crude Futures ที่หมดอายุในเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นสินทรัพย์ที่นำมาคำนวณราคา ETF โดยให้ไปเพิ่มสัญญา Futures เดือนเมษายน 2021 แทน ซึ่งส่งผลให้ราคาของ USO สูงขึ้นโดยธรรมชาติ
อีกทั้ง CME ยังกำหนดลิมิตของจำนวนของสัญญาที่ USO จะสามารถออกได้ในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญญาแบบ Short ทั้งหมดล้วนส่งผลดีต่อราคาน้ำมันดิบในช่วงสั้นจากปัจจัย USO
ท้ายสุด ปัจจัยด้านอุปทาน ในช่วงนี้ จากการที่อุปสงค์น้ำมันโลกที่ลดลงเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าจะลดลงถึงร้อยละ 30 ในไตรมาสนี้ ได้ส่งผลให้บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของสหรัฐทำการ Shut-ins หรือลดกำลังการผลิต คาดว่ากว่า 4 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงโอเปกภายใต้การนำของรัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ที่จะลดกำลังการผลิตลง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา
รวมถึงตลาดยังคาดหวังไปถึงการลดกำลังการผลิตอีกครั้งสำหรับการประชุมโอเปกครั้งต่อไป นอกจากนี้ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ได้มีรายงานว่าแหล่งผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐได้ลดกำลังการผลิตในช่วงนี้ลงราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบก็ยังมีโอกาสกลับไปทดสอบระดับที่เป็นจุดต่ำสุดเดิมในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา หากความชัดเจนของ Second Wave ของโควิด-19 ปรากฏชัดเจนขึ้นในสหรัฐ ยุโรปและจีน ว่ามาแบบค่อนข้างรุนแรง รวมถึง First Wave ที่น่าจะมาแรงอย่างในบราซิล อินเดียและแอฟริกา