เฟดจะเปลี่ยนโหมดแล้ว… จริงๆหรือ?

หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐ ที่ออกมาล่าสุดที่ 7.7% ทำให้หลายคนชวนคิดไปถึงการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในต้นปีหน้า อีกทั้งมองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ของเฟดในรอบนี้ น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 5% บทความนี้ จะขอแชร์มุมมองในประเด็นดังกล่าว

1198

หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อจากดัชนีผู้บริโภคหรือ CPI ของสหรัฐ ประจำเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ออกมาล่าสุดที่ 7.7% ปรากฏว่าเสียงตอบรับจากตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐถือว่าดีมาก โดยอัตราผลตอบแทน 2 วันหลังจากนั้น ขึ้นไปเฉียดๆ 10% ในตลาดนาสแด็ค รวมถึงล่าสุดที่ตัวเลขดัชนีผู้ผลิตหรือ PPI ของสหรัฐ ประจำเดือนตุลาคม ที่ชะลอลงมาเหลือ 8%

สิ่งนี้ทำให้หลายคนชวนคิดไปถึงการหยุดขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในต้นปีหน้า อีกทั้งมองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ของเฟดในรอบนี้ น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 5% โดยบทความนี้ จะขอแชร์มุมมองในประเด็นดังกล่าว ดังนี้

  • เงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภค CPI และ PPI ออกมาต่ำกว่าคาดล่าสุด สะท้อนได้หรือยังว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯผ่านจุดพีคแล้วหรือยัง?

ในจุดนี้ ผมมองว่าน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้สูงพอสมควรที่เงินเฟ้อสหรัฐจะไม่ทะยานขึ้นต่อจากนี้ อย่างไรก็ดี ต้นทุนการคาดการณ์เงินเฟ้อพลาดของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดถือว่าสูงมาก โดยเศรษฐกิจสหรัฐจะต้องได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากหากเฟดประเมินสถานการณ์เงินเฟ้อดีเกินไปในรอบนี้  จึงมองว่าเฟดต้องคิดไว้ก่อนว่าโอกาสที่จะเห็นเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้ว ณ ตอนนี้ ไม่เกิน 50/50 

  • ข้อมูลเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ตลาดแรงงานที่ผ่านมามีน้ำหนักเพียงพอจะทำให้ เกิดการกลับทิศนโยบาย (Fed Pivot) แล้วหรือยัง?

ผมยังมองว่าเฟดน่าจะไม่ยอมแสดงท่าทีการกลับทิศนโยบายในปีนี้ เนื่องจากเท่ากับว่าจะไปผ่อนคลายสภาพคล่องของตลาดเงินและตลาดพันธบัตร ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้มีการกู้ยืมและจับจ่ายใช้สอยของชาวสหรัฐมีมากขึ้น ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการยิ่งกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เฟดต้องการให้ลดลงในช่วงนี้ไปก่อน และถือเป็นการเร่งการก่อตัวของอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น สำหรับในช่วงเวลานี้ในที่สุด

โดยให้เต็มที่ เฟดน่าจะแค่ชะลอความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย (โทนหรือระดับ Slow Down น่าจะสำคัญกว่าในการพิจารณา) ทว่ามาพร้อมกับการแสดงท่าทีจริงใจในการพร้อมจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยด้วยขนาดที่สูงขึ้นใหม่ หากว่าข้อมูลเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PCE ออกมาแบบที่ทำให้จำเป็นต้องทำเช่นนั้นจริงๆ

  • คาดการณ์ผลประชุมเฟดครั้งสุดท้ายของปี ในเดือน ธ.ค. นี้ จะออกมาว่าอย่างไร?

แม้ว่า ณ เวลานี้ กรณีฐาน หรือ baseline scenario ของการขึ้นดอกเบี้ยเฟดในครั้งสุดท้ายของปีนี้ น่าจะเป็นระดับ 0.5% อย่างไรก็ดี จุดพลิกผันของสมมติฐานดังกล่าวยังถือว่ามีโอกาสอยู่สูงมาก เนื่องจากก่อนการแถลงผลประชุมเฟดในวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ ยังมีชุดข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญมากรอให้เฟดพิจารณาอยู่อย่างน้อย 2 ชุด นั่นคือ ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE ประจำเดือนตุลาคม และ ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ประจำเดือนพฤศจิกายน ซึ่งหากว่าหนึ่งในชุดข้อมูลดังกล่าวเกิดส่งสัญญาณพลิกว่าเงินเฟ้อสหรัฐยังไม่ลดลงตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หรือตัวเลขเงินเฟ้อส่อว่าจะกลับมาสูงขึ้นในบางหมวดตะกร้าสินค้าและบริการที่สำคัญซึ่งใช้ในการคำนวณเงินเฟ้อขึ้นมา เฟดก็อาจจะกลับไปขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75% ในเดือนธันวาคมนี้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ สำหรับคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ของเฟดในรอบนี้ ที่ล่าสุด นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 5% ลดลงจากเมื่อต้นสัปดาห์ก่อนราวๆ 0.4% นั้น ผมยังมองว่าอาจจะยังเร็วเกินไปเล็กน้อยที่จะฟันธงไปแบบนั้น เนื่องจาก ณ ปัจจุบัน ตลาดพันธบัตรสหรัฐมีความอ่อนไหวต่อข่าวเกี่ยวกับตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ประกาศออกมาเป็นอย่างมาก โดยสังเกตได้จากระดับการลดลงของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐในเกือบทุกช่วงอายุการลงทุน หลังได้รับข่าวดีจากตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือว่ามีระดับการลดลงที่สูงเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว

ดังนั้น หากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่จะประกาศราวทุก 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ เกิดพลิกโผออกมาสูงกว่าคาดขึ้นมา ระดับของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐก็จะสูงขึ้นแบบรุนแรงเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายรวมถึงคาดการณ์ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) ของเฟดที่จะกลับไปสูงกว่าร้อยละ 5 อีกครั้งหนึ่ง

  • มุมมองต่อตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดอื่นที่น่าสนใจ สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ และ ปี 2023?

ผมมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ณ ช่วงสิ้นปีนี้ น่าจะชะลอลงจากระดับนี้เล็กน้อย หรืออยู่ในระดับประมาณนี้ เนื่องจากมองว่าตลาดดีใจกับตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมากไปสักหน่อย โดยมองตลาดหุ้นสหรัฐในครึ่งแรกของปี 2023 เป็น Neutral และ ในครึ่งหลังของปี 2023 Overweight เล็กน้อย

ส่วนตลาดหุ้นไทยมอง Overweight เล็กน้อย ในครึ่งแรกของปี 2023 จากโหมดการเลือกตั้งใหญ่ในเดือนพฤษภาคมปีหน้า และการเปิดเมืองอย่างค่อนข้างเต็มตัว โดยมองตลาดหุ้นจีนน่าจะอยู่ในจุดที่มีโอกาสขึ้นมากกว่าลงในปี 2023

ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

Comments