ส่องกองทุนประหยัดภาษี ปี 2567 ที่โดนใจ

ถึงเวลาของการซื้อกองทุนรวมลดหย่อนภาษีกันแล้ว ซึ่งในปีนี้ มีกองทุนที่จะแนะนำมาฝากในบทความนี้

97

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

ใกล้จะถีงสิ้นปีมาทุกขณะ น่าจะถึงเวลาของการซื้อกองทุนรวมลดหย่อนภาษีกันแล้ว ซึ่งในปีนี้ มี 3 ทางเลือกให้เลือกสรรตามอัธยาศัย เริ่มจากผู้ที่อยากถือกองทุนลดหย่อนภาษีให้ระยะเวลาถือครองสั้นที่สุด น่าจะเล็งไปที่กองทุน Thai ESG ซึ่งประกอบด้วยหุ้นไทย กับ ตราสารหนี้ไทย แล้วแต่จะเลือกสรร เนื่องจากหากถือครบ 5 ปีก็สามารถขายออกมาได้แบบสามารถรับสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้เต็มๆ

ในขณะที่หากท่านที่มีอายุน้อยกว่า 45 ปี กองทุน SSF น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากหากถือไว้ครบ 10 ปี แล้วค่อยขายนั้น อายุท่าน ณ ตอนนั้น ก็ยังไม่ถึง 55 ปี  ส่วนผู้ที่มีอายุเกิน 45 ปี กองทุน RMF น่าจะเข้าทางกว่า เนื่องจากถือไว้จนอายุครบ 55 ปีแล้วจึงขายได้ ซึ่งก็ยังถือไว้น้อยกว่า 10 ปี ทำให้สามารถถือครองด้วยระยะเวลาสั้นกว่าที่ SSF บังคับให้ถือเพื่อลดหย่อนภาษี

คราวนี้ มาถึงคำถามสำคัญคือแล้วจะซื้อกองไหนดีสำหรับทั้ง 3 ประเภท มาดูกันครับ

เริ่มจาก กองทุน Thai ESG ผมขออนุญาตใช้ข้อมูลผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 12 .. 2567 จากข้อมูลของทาง SET ปรากฎว่ากองที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ONE-THAIESG, K-TNZ-THAIESG, B-TOP-THAIESG, KKP GB THAI ESG และ ASP-THAIESG ซึ่งมีทั้งกองหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทย โดยผมมองว่าทั้ง 5 กองถือว่าน่าสนใจ เนื่องจากผ่านการทดสอบมาเกือบ 11 เดือน แล้วปรากฎว่า ให้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควร

มาถึงกองทุน RMF และ SSF กันบ้าง ผมขอโฟกัสไปที่กองต่างประเทศ เนื่องจากเงื่อนไขระยะเวลาการถือครองของกองทุน Thai ESG ถือว่าดีกว่า RMF และ SSF สำหรับผู้ลงทุน ดังนั้นหากใครจะซื้อ RMF หรือ SSF หุ้นหรือบอนด์ไทย ผมมองว่าไปซื้อกองทุน Thai ESG  น่าจะดีกว่า

ในปีนี้ สำหรับกองทุน RMF และ SSF ผมมองไว้ 3 ตลาดที่น่าสนใจ ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น และอินเดีย เริ่มจากสหรัฐ แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐในตอนนี้ถือว่าขึ้นมาสูงกว่า 10% หลังจากตอนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งใหญ่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทว่าการเลือกสก็อต เบสเสนต์ เข้ามานั่งในเก้าอี้รัฐมนตรีคลัง แสดงถึงจุดยืนของการทำสงครามการค้ากับจีนของทรัมป์ที่น่าจะยืดหยุ่นกว่าที่คาด รวมถึงการมีข้อจำกัดของอิลอน มัสก์ที่จะเข้ามาล้วงลูกในตำแหน่งสำคัญๆของคณะรัฐมนตรี เนื่องจากมัสก์แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการที่เบสเสนต์จะเข้ามาคั่วตำแหน่งขุนคลัง นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะยังสามารถไปได้ดีในช่วงถัดไป จากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่สามารถจัดการปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้ค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา

ด้านญี่ปุ่น ผมมองว่าภารกิจของผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ คาซึโอะ อูเอดะ ในการนำพาเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้กลับไปสู่เศรษฐกิจที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นบวกแบบยั่งยืนเหมือนเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำอื่นๆทั่วโลก น่าจะใกล้เป็นความจริงแล้ว โดยที่แม้ในระยะสั้น  BOJ น่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ยอีกราว 3 ครั้งซึ่งยังคงจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดในระยะสั้นทว่าผมมองว่าน่าจะผ่านไปได้ในที่สุด

ท้ายสุด อินเดีย ถือว่าได้เปรียบประเทศอื่นๆในส่วนของการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเข้มแข็งของทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่เป็นอันดับต้นๆของโลก รวมถึงน่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบไม่มากนักจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน อีกทั้งถือเป็นประเทศใหญ่ที่ทั้ง 2 ฝั่ง น่าจะให้ความสำคัญในฐานะที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการค้าและการทหารของทั้งคู่

สำหรับกองทุน RMF ขอเริ่มจากตลาดสหรัฐ ผมมองไว้อยู่ 3 กอง ได้แก่ KUSA-RMF ที่ถือว่าเสี่ยงน้อยกว่าอีก 2 กองที่เหลือ, SCBRMUSA(A) ซึ่งถือว่าเสี่ยงกว่าตัวแรก และ B-Innotech RMF ซึ่งเน้นถือหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐเป็นหลัก

ตลาดญี่ปุ่น ผมมองกอง RMF ที่อ้างอิงกองต้นทาง (Feeder Fund) ที่ชื่อ NEXT FUNDS Nikkei 225 Exchange Traded ซึ่งมีอยู่หลายกองทุนในบ้านเรา โดยขอเลือก SCBRMJP-RMF และ TISCOJP-RMF

ตลาดอินเดีย ผมเลือก B-IndianRMF ที่เน้นหุ้น Mid-Small Cap ของตลาดอินเดีย และ KIndiaRMF ที่อ้างอิงกองต้นทางจากค่าย Goldman Sachs

คราวนี้ หันมาพิจารณากองทุน SSF กันบ้าง

ขอเริ่มจากตลาดสหรัฐ ผมมองไว้อยู่ 4 กอง ได้แก่ KFUS-SSF ที่ถือว่าเสี่ยงน้อยกว่าอีก 3 กองที่เหลือ, SCBUSA (SSF) และ TNASDAQSSF ที่ลงทุนใน Invesco QQQ Trust ซึ่งทั้งคู่ถือว่าเสี่ยงกว่าตัวแรก  และ B-Innotech SSF ซึ่งเน้นหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐเป็นหลัก

ตลาดญี่ปุ่น ผมขอเลือก SCBJAPAN (SSF) ที่อ้างอิงกองต้นทาง (Feeder Fund) จากค่าย Goldman Sachs

ตลาดอินเดีย ผมขอเลือก KT-India-SSF ที่อ้างอิงกองต้นทางจากค่าย Invesco

โดยทั้งหมด ผมได้ทำการศึกษาและเลือกสรรจากบรรดากองทุนรวมประหยัดภาษีในภูมิภาคดังกล่าวเกือบทุกตัวที่มีอยู่ในตลาด ณ ปัจจุบัน

Comments