สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐได้ประกาศผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) สถาบันการเงินสหรัฐประจำปี 2023 ซึ่งจัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง ผมขอนำไฮไลต์ของผลการทดสอบนี้ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกัน ดังนี้
ก่อนอื่น ขอเริ่มจากสถานการณ์จำลองสำหรับทำการทดสอบภาวะวิกฤต ปี 2023ในครั้งนี้ ประกอบด้วย
มาตรวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งหมด 6 ตัว: ในปี 2023 ธนาคารกลางสหรัฐได้ระบุมาตรวัดกิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐไว้ ได้แก่ อัตราการเติบโตจีดีพีสหรัฐรายปีแบบ Nominal และแบบที่แท้จริง ซึ่งตั้งตัวเลขค่าเฉลี่ยปี 2023 ที่ -8% และ -7% ตามลำดับ, อัตราการเติบโตของมูลค่ารายได้หลังหักภาษีของรายบุคคลแบบ Nominal และแบบที่แท้จริง ซึ่งตั้งตัวเลขค่าเฉลี่ยปี 2023 ที่ -3.4% และ -2.4% ตามลำดับ, อัตราเงินเฟ้อแบบ CPI สหรัฐ ซึ่งตั้งตัวเลขค่าเฉลี่ยปี 2023 ที่ 1.3% และ ระดับอัตราการว่างงานของประชาชนชาวสหรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ในปี 2023 ซึ่งตั้งตัวเลขค่าเฉลี่ยที่ 8.1%
มาตรวัดราคาสินทรัพย์และสถานภาพด้านการเงิน (Financial Conditions) ทั้ง 4 ตัว: ประกอบด้วยดัชนีระดับราคาบ้าน ซึ่งตั้งระดับเฉลี่ยปี 2023 ไว้ที่ 213, ดัชนีราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งตั้งระดับเฉลี่ยปี 2023 ไว้ที่ 323, ดัชนีราคาหุ้น Dow Jones Industrial Average ซึ่งตั้งระดับเฉลี่ยปี 2023 ไว้ที่ 21,502 และความผันผวนของตลาดหุ้น ซึ่งตั้งระดับเฉลี่ยปี 2023 ไว้ที่ 65.4
ตัวแปรมหภาคในประเทศหลักของโลกภายใต้สถานการณ์วิกฤต: อัตราการเติบโตจีดีพีที่แท้จริงของภาคพื้นยูโร กลุ่มประเทศเอเชียที่กำลังพัฒนา ญี่ปุ่น และอังกฤษ กำหนดค่าเฉลี่ยปี 2023 สำหรับสถานการณ์วิกฤตที่ -4.3%, +1.9%, -4.7% และ -3.8% ตามลำดับ และ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของภาคพื้นยูโร กลุ่มประเทศเอเชียที่กำลังพัฒนา ญี่ปุ่น และอังกฤษ กำหนดค่าเฉลี่ยปี 2023 สำหรับสถานการณ์วิกฤตที่ +2.4%, -0.6%, -0.8% และ +4% ตามลำดับ
โดยผลการทดสอบในครั้งนี้ ปรากฎว่าความเสียหายรวมจากการทดสอบภาวะวิกฤตในครั้งนี้ ทั้งหมดอยู่ที่ 5.41 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าลดลงจากปี 2022 เล็กน้อย ซึ่งโดยปกติแล้ว ความเสียหายรวมมักจะอยู่ประมาณ 5-6 แสนล้านดอลลาร์ โดยในครั้งนี้ ประกอบด้วย ความเสียหายจากสินเชื่อ (loan loss) ที่ 4.24 แสนล้านดอลลาร์ (78% ของทั้งหมด) ความเสียหายเพิ่มเติมของสินเชื่อที่ลงบัญชีแบบ fair-value option ที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ (3% ของทั้งหมด) ความเสียหายจาก Trading Loss ที่ 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (17% ของทั้งหมด) ความเสียหายจาก Securities Loss ที่ 5 พันล้านดอลลาร์ (1% ของทั้งหมด)
ผมมีไฮไลต์สำหรับ Stress Test แบงก์สหรัฐ ปี 2023 ดังนี้
1. โดยหากพิจารณาจากคาดการณ์ความเสียหายแยกตามประเภทสินเชื่อ จาก Stress Test ในปี 2023 เทียบกับปี 2022 จะพบว่าสินเชื่อบัตรเครดิตมี loss rate สูงขึ้น โดยเพิ่มจากร้อยละ 19 มาเป็นร้อยละ 22 และมีความเสียหายมูลค่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ สินเชื่อ mortgage มี loss rate สูงขึ้น เพิ่มจากร้อยละ 3 ขึ้นมาเป็นร้อยละ 6
2. ในความเห็นส่วนตัว ผมมองว่าในมิติของความเสี่ยง หากจะเลือก Winner ในการทดสอบภาวะวิกฤตครั้งนี้ ผมมองไปที่ 2 แบงก์ ได้แก่ JPMorgan Chase แบงก์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐในปัจจุบัน เนื่องจากมีรายได้ก่อนตั้งสำรอง และรายได้หลังหักภาษี สูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ในขณะที่แบงก์ใหญ่อื่นๆมีรายได้ทั้งคู่ลดลงจากปีที่แล้วกันเกือบหมด และ PNC ซึ่งถือเป็น Regional Bank ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 เนื่องจากมีระดับเงินกองทุนหลังผ่านการทดสอบภาวะวิกฤตใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ในขณะที่แบงก์อื่นโดยส่วนใหญ่ลดลงระดับหนึ่ง ส่วน Loser ผมขอเลือกไปที่ Goldman Sachs เนื่องจากมี loss rate ของสินเชื่อบัตรเครดิตถึง 25% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราว 18%
3. Loss Rate เพิ่มขึ้นในพอร์ตรายย่อยและ ทรงตัวสำหรับพอร์ต Wholesale ในการทดสอบภาวะวิกฤตครั้งนี้: โดยอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นและระดับราคาบ้านที่ต่ำลง ได้ส่งผลให้คุณภาพของสินเชื่อรายย่อยในปีนี้ลดลง อย่างไรก็ดี คุณภาพของสินเชื่อแบบ Wholesale ยังคงมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกับปีก่อน
และท้ายสุด ความเสียหายของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แม้หลังจากที่วิกฤตโควิดกลับมาดีขึ้นแล้ว ทว่าอัตราความเสียหาย loss rate ของอาคารสำนักงานยังคงสูงอยู่ค่อนข้างมาก โดยที่ loss rate ของอาคารสำนักงานจากการทดสอบภาวะวิกฤตในปี 2023 สูงถึงราว 19% ในขณะที่ในปี 2008 หรือช่วงวิกฤตซับไพร์มสูงเพียงราว 6.3% หรือคิดเป็น 3 เท่าของในช่วงวิกฤตซับไพร์มนั่นเอง
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ