ลงทุนธีมไหนดี… ต้อนรับเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ

บทความนี้ ขอใช้ปัจจัยทางการเมืองสหรัฐเป็นตัวช่วยในการค้นหาธีมการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้

844

บทความนี้ ขอใช้ปัจจัยทางการเมืองสหรัฐเป็นตัวช่วยในการค้นหาธีมการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้

ปี 2022 ถือเป็นปีที่สหรัฐภายใต้การนำของ โจ ไบเดน ได้มีนโยบายที่ถือว่าค่อนข้างแข็งกร้าวในมิติการเมืองต่างประเทศ แน่นอนว่าเมื่อสหรัฐแรงมาก็เกิดปรากฏการณ์บูมเมอแรงย้อนกลับมาเข้าหาตัวไบเดนเองสำหรับการเลือกตั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภาในเดือนพฤศจิกายนนี้

เจ้าภาพที่รอการมาถึงของการเลือกตั้งสหรัฐในครั้งนี้ มีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น รัสเซีย กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางบางประเทศ จีน เกาหลีเหนือ หรือแม้แต่โดนัลด์ ทรัมป์

แน่นอนว่าจุดอ่อนของคะแนนเสียงของพรรคเดโมแครตและไบเดนอยู่ที่ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งหากในช่วงก่อนเลือกตั้งหลุดทะลุขึ้นไปสูงๆ โอกาสที่ประชาชนชาวสหรัฐจะลงโทษพรรคเดโมแครตย่อมมีสูงมาก โดยตรงนี้ไบเดนคงหวังได้แค่ว่าอย่าแพ้มากเกินไปเท่านั้น

ซึ่งถึงตรงนี้ ก่อนการเลือกตั้งราวๆกว่า 2 เดือน เราน่าจะพอเห็นได้ว่ากลุ่ม OPEC เริ่มส่งสัญญาณแบบชัดเจนว่าจะลดกำลังการผลิตอย่างแน่นอน ซึ่งในวันนี้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ก็พุ่งเกินระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งดูเหมือนว่า OPEC น่าจะยังดำเนินกลยุทธ์กดดันราคาน้ำมันต่อมากกว่านี้ เพื่อหวังให้ไบเดนต้องเข้าหาตนเองเพื่อเจรจาผลประโยชน์เพิ่มเติม

ด้านรัสเซียยิ่งไม่ต้องพูดถึง เตรียมจัดหนักสำหรับการยกระดับยุทธการทางทหารกดดันยูเครนเพิ่มเติม ถือเป็นการทำให้ห่วงโซ่อุปทานตึงตัวขึ้นอีกครั้ง และขัดขวางเส้นทางขนส่งสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมัน เพื่อดึงให้ราคาพลังงานสูงขึ้น หวังผลต่อระดับเงินเฟ้อสหรัฐให้สูงที่สุดก่อนการเลือกตั้ง

ด้วยปัจจัยดังกล่าวก่อนเลือกตั้งสหรัฐ การลงทุนในกลุ่มพลังงานถือเป็นธีมการลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจ

คราวนี้ หันกลับมาดูจีนกันบ้าง บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐมีฐานลูกค้า รวมถึงโรงงานการผลิตในจีนอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นเป้าใหญ่ที่จีนอาจจะสามารถทำให้รัฐบาลสหรัฐดูเหมือนไม่สามารถจัดการทรัพยากรของตนเองได้ดี โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่จีนอาจลงมือทำ คือ การไม่ส่งออกแร่หายากหรือ Rare Earth ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าประเภทเซมิคอนดัคเตอร์และไฮเทคให้กับสหรัฐ ดังนั้นการลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีสหรัฐช่วงก่อนเลือกตั้งน่าจะชะลอไว้ก่อน โดยหุ้นในกลุ่มแบงก์สหรัฐ อาจจะได้รับผลดีมากกว่า จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐถูกบีบให้เล่นไปตามเกมของต่างประเทศดังกล่าวด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

หันมาพิจารณาในมุมที่ดีสำหรับการเลือกตั้งสหรัฐในครั้งนี้กันบ้าง สภาคองเกรสได้ผ่านกฎหมาย 2 ฉบับและลงนามโดยไบเดนในปีนี้ไปแล้ว โดยหวังผลต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้ ได้แก่

หนึ่ง กฎหมาย Chips and Science Act ที่ทุ่มงบประมาณ 2.8 แสนล้านดอลลาร์ในการช่วยเหลือทางการเงินต่อภาคเอกชนให้มีการสร้างโรงงานผลิตชิพและเซมิคอนเตอร์ขั้นสูง รวมถึงมีการให้งบประมาณต่อการวิจัยด้านชิพและเซมิคอนเตอร์ขั้นสูงอีกด้วย นอกจากนี้ ได้มีงบประมาณบางส่วนต่อกับการสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานสีเขียวของประชาชนชาวสหรัฐอีกด้วย

ในส่วนนี้ หุ้นในกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์หรือการประมวลผลกราฟฟิค อาทิ AMD และ NVIDIA หากคิดจะลงทุนในระยะยาวเป็นหลัก 5-10 ปี ก็น่าสนใจที่จะลงทุน รวมถึงหุ้นในกลุ่มเดียวกันของจีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน อย่าง SMIC Samsung SK Hynix และ TSMC รวมถึงหุ้นยุโรปที่มีความสามารถสูงแบบไร้คู่แข่งด้านการผลิตเครื่องทำชิพอย่าง ASML ก็น่าสนใจที่จะลงทุนในระยะยาว

สอง กฎหมาย Inflation-Reduction Act ที่ทุ่มงบประมาณ 4.4 แสนล้านดอลลาร์ในการสร้างรากฐานทางด้าน Climate Change และพลังงานทางเลือก รวมถึงด้าน Healthcare โดยแบ่งงบ 3.7 แสนล้านดอลลาร์ให้กับด้านภูมิอากาศโลกและด้านพลังงานทางเลือก เพื่อสนับสนุนทางการเงินให้ประชาชนใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนจากแหล่งพลังงานจากไฟฟ้าหรือ EV รวมถึงสนับสนุนทางการเงินให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยซึ่งใช้พลังงานทางเลือกเป็นแหล่งพลังงานหลัก

ส่วนทางด้านภาคธุรกิจ สนับสนุนทางการเงินให้มีการสร้างโรงงานผลิตอุปกรณ์ด้านพลังงานทางเลือก รวมถึงสร้างแรงจูงใจทางการเงินในการทำให้โรงงานต่างๆเพื่อลดการปล่อยก๊าซที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับด้าน Healthcare โดยเน้นให้ยารักษาโรคมีราคาถูกลงและเข้าถึงได้จากประชาชนทุกกลุ่มรายได้

โดยกฎหมายนี้น่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในเซกเตอร์พลังงานทางเลือก และ EV ทั้งของสหรัฐและจีน อย่าง หุ้น Enphase  หรือกองทุนอย่าง MRenew หรือ P-CGreen รวมถึงหุ้นหรือกองทุนแนว ESG ถือว่าน่าจับตามอง นอกจากนี้ หุ้นหรือกองทุนในกลุ่ม Healthcare ก็ได้ประโยชน์ในบางส่วนจากกฎหมายนี้

อย่างไรก็ดี ความยากของการลงทุนแนวนี้ คือ การเลือกจังหวะที่จะเข้าซื้อ เนื่องจากราคาขึ้นไปมากพอสมควรแล้วในตอนนี้ ทว่าผมมองว่าก็ยังพอมีช่องว่างในการขึ้นไปอีก ทว่าจุดที่อาจจะเป็นความเสี่ยงคือ มีความเป็นไปได้ว่า น่าจะมีความผันผวนในช่วงเดือนกันยายนหรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งกระนั้นก็ดี แนวโน้มที่ราคาจะขึ้นไปจากตรงนี้ก็น่าจะยังมีอยู่พอสมควรในความเห็นของผม

แล้วก็อย่าลืมว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจในการลงทุน

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

หมายเหตุ: สนใจแนวทางการสแกนกองทุนผ่านปัจจัยเชิง Macro ความเสี่ยง (Risk) และการวิเคราะห์แบบ Induction (MRI) จาก MacroView คลิกที่ลิงก์นี้ได้เลย
https://finno.me/macroview-blog-2022

 

 

 

 

 

Comments